สปอยล์ Dune

สวััสดีครับ ทุกคน สำหรับ การรีวิว ในครั้งนี้ ผมจะมารีวิว Duneนะครับ โดยตัวหนัง เรื่องนี้ มีต้นแบบ อ้างอิง มาจาก นวนิยาย ที่โด่งดังในอดีตนะครับ แต่ว่า ด้วยความที่หนังเรื่องนี้ เป็นหมวดหมู่ ไซไฟ

ทำให้ตัวหนังเรื่องนี้ อลังการมาก เรื่องของหนังก็ประมาณว่าเกี่ยวกับ การค้นหา โชคชะตา ของชาย หนุ่มผู้ เกิดมาพร้อม พลังวิเศษ ที่อาจเปลี่ยนทิศทางของทั้งจักรวาลให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ตัวภาพยนต์เรื่อง Dune นั้น สำหรับเนื้องเรื่อง และประเด็นหลัก ของความสำคัญ ของเรื่องได้ บอกเล่า

เรื่องราวของ พอล อาทรีเดส เขาเป็นลูกชายแห่งตระกูล อาทรีเดส ที่ต้องทำหน้าที่ออกเดินทางตาม เลโต้ อาทรีเดส ผู้เป็นพ่อ และผู้นำ ตระกูล ไปยังดาว อาร์ราคิส

 

สปอยล์ Dune

 

ที่ห้อมล้อม ไปด้วย ทะเลทราย ตามคำสั่ง ของจักรพรรดิ พาร์ดิชา เพื่อปกครอง ดวงดาวและเพื่อเก็บทรัพยากร ที่มีความล้ำค่า มากที่สุด ภายในจักรวาล ซึ่งอยู่ภาย ในดาวอาร์ราคิส  หากสนใจดูหนังออนไลน์คลิ้กเลย ดูหนังออนไลน์

แต่แล้ว ชนวน ของสงคราม ก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเลโต้ สัมผัส ได้ถึงแผนการ ร้ายบางอย่างของตระกูล ฮาร์คอนเนน ศัตรูคู่แค้น ที่ต้องการ ครอบครอง Spice เช่นเดียวกัน พอลที่ถูกหมายหัว จากตระกูล ฮาร์คอนเนน จึง ต้องร่วมมือ กับชาวเฟรเมน ที่อาศัยอยู่ บนดาว อาร์ราคิส เพื่อช่วยเหลือครอบครัวและผู้คนบนดาวอาร์ราคิสจากน้ำมือของตระกูลฮาร์คอนเนน

 

สปอยล์ Dune

 

สำหรับเรื่องนี้ อาจไม่ใช่ อะไร ที่แปลก ใหม่ นวนิยาย DUNE ของ Frank Herbert คือหนึ่ง ในรากฐาน สำคัญ ของผลงาน ไซไฟ แทบทุกเรื่อ งอย้่างเช่น ศึกดวงดาว หรือสตาร์วอร์ก็มาจาก นิยายเรื่องนี้เช่นกัน องค์ประกอบหลายอย่างอาจทำให้เรานึกถึงหนังอวกาศหลายเรื่องที่ดูมาแล้ว ซึ่งจุดนี้ Denis น่าจะรู้ดี โจทย์ของเขาเลยการเป็นหาวิธีนำเสนอที่แตกต่างเหมือนพาเราหลุดไปอีกโล   หากสนใจดูหนังออนไลน์คลิ้กเลย เว็บดูหนังออนไลน์

และสำหรับผม อาจจะพูดได้ว่า DUNE เป็นผลงานที่แมสสุดของผู้กำกับ Denis Villeneuve เจ้าของผลงานอย่าง Sicario, Arrival และ Blade Runner 2049 องค์ประกอบทุกอย่างของหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน เพราะมันไม่ใช่หนัง Blockbuster เอาใจตลาดแบบเพียว ๆ แต่มันคือ Arthouse Blockbuster สิ่งที่ไม่มีให้เห็นบ่อย ๆ ในวงการภาพยนตร์

 

สปอยล์ Dune

 

เนื้อเรื่อง

Dune ตั้งแต่เริ่ม เรื่องว่าเป็น “Part 1” ให้คนดู ทำใจล่วง หน้าว่า นี่คือแค่ป ฐมบท หนังจะจบ แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะ Dune Part 1 เป็นแค่ ครึ่งแรก ของหนังสือ นิยายเล่มหนึ่งเท่านั้น สำหรับเนื้อเรื่อ งและเนื้อหา ของหนังเรื่องนี้ นะครับ แอ็กชัน ภายในเรื่องนี้ ผมคิดว่าในส่วนนี้ของหนัง

 

 

ไม่ได้โฟกัส ที่ความอลังการสักเท่าไหร่นะครับ  แต่มันถูกบอกเล่า ผ่านแววตาของตัวละคร ที่กำลังเผชิญ หน้าสงคราม ที่ไม่อาจเลี่ยง งานภาพ ที่เล่นกับแสง และเงาของ Greig Fraser ชวนให้งานสถาปัตยกรรมการออกแบบได้เฉิดฉาย  หากสนใจดูหนังออนไลน์คลิ้กเลย ดูหนังฟรี

ชวนตื่นตาในทุกช็อตมันทำให้เรารู้สึกสะใจกับเนื้อเรื่องเอามากๆทำให้เรารู้สึกจริง ๆว่าโลกของ DUNE มันช่างยิ่งใหญ่เกินเฟรมที่มี ก่อนจะเสริมด้วยงานออกแบบเสียงที่ทำงานร่วมกับดนตรีประกอบของ Hans Zimmer เป็นอยากดี โอบอุ้มเราให้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว ถึงแม้หนังจะเปิดเรื่องชัดเจนว่านี่คือ DUNE: Part One

 

 

ยังมีเรื่องราว อีกมากมาย ให้เล่าต่อ แต่จาก การดูหนังอย่าง Lord of the Rings ภาคแรก ก็มาสามารถสร้าง การผจญภัย บทแรก ที่สนุก เต็มอิ่มได้ สำหรับ DUNE ความยาว 2 ชั่วโมงครึ่งเหมือนเป็นเพียงแค่หนังครึ่งเรื่อง ที่เรากำลัง เพลิดเพลิน

แต่รู้ตัวอีกที ก็โดนไล่ ออกจากโรง มันคือประสบการณ์ ภาพยนตร์ที่ไม่เหมือนเรื่องไหน แต่ก็น่าเสียดายที่เราควรจะออกโรงมาพร้อมความรู้สึกอิ่มเอมมากกว่าท้องว่าง นาทีนี้ได้ แต่หวังว่า หนังจะประสบ ความสำเร็จ และตามมา ด้วยภาคต่อในเร็ววัน

หากสนใจดูหนังออนไลน์คลิ้กเลย ดูหนังฟรี4K

 

 

สปอยล์ Dune ความรู้สึกหลังจากดู

หลังจากที่ได้ดูจนจบนะครับ ผมคิดว่าตัวหนังเรื่องนี้ ถ่ายทอดออกมาได้ดีเอามากๆเลยครับ ไม่ว่าจะ เป็น ภาพ หรือสี หรือ แม้แต่ บทบาทของตัวละคร อารมณ์ความรู้สึก คือไม่ได้แปลกใจนะครับ ที่เป็นหนังไซไฟ หนึ่งในดวงใจของใครหลายๆคนแต่เขาใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งนี้

ค่อย ๆ เล่าเรื่องเหมือนพาเราอ่านหนังสือ ชนิดเก็บและซึมซับแทบทุกดีเทล ราวกับกำลังอ่านตัวหนังสือบรรยายทีละบรรทัด ๆ ทำให้เราได้ take time กับตัวละครและสถานที่อย่างที่ควรจะเป็น

และงานของเขาก็เหมือนงานศิลป์ ที่โดดเด่นด้วยงาน visual ที่ล้ำเลิศเหนือจินตนาการ, production design ที่น้อยแต่มาก และ score ที่ทรงพลัง- ต้องบอกก่อนว่าสำหรับหนังเรื่องนี้หากใครที่เคยผ่านงานของผู้กำกับ ” Denis Villeneuve ” มาบ้าง จะต้องรู้กันแน่นอนว่าสไตล์หนัง ของเขานั้น จะมีการเล่าเรื่องที่เยอะ

และไม่เลิศเลอ แต่โดดเด่นในการดึงให้คนดูต้องคอยติดตามอยู่ตลอด ซึ่งตัวหนังไม่ได้ใส่ซีนแอคชั่นมามากมายเท่าไหร่และเนื้อหาที่ค่อยๆยกระดับความสนุกมากขึ้นเรื่อย ผ่านการเล่าเรื่องที่มีจังหวะ ไม่เร็วเกินจนเราไม่เข้าใจ ยกเว้นชื่อดาว ชื่อคนนั้นคนนี้ ที่จำยากพอสมควร พอหนังจบออกมาแล้วผู้เขียนก็ยังจำชื่อได้ไม่หมด เรียกกว่าปราบเซียนคนดูหนังจริงๆ

 

 

เป็นอีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีชที่ถูกยกเครื่องใหม่ให้ทันสมัยและเข้ากับยุค พร้อมการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม และเหล่าตัวละครต่างๆที่เราต้องคอยเอาใจช่วย อีกทั้งความลับอีกมากมายที่ยังไม่ถูกเปิดเผย รวมถึงบทสรุปของเรื่องราวสงครามการเมืองที่รอให้เราไปพบเจอในภาคที่ 2

อันนี้คือยังไปต่อได้อีกนะครับ และไม่รู้ว่าภาค2จะใช้เวลานานขนาดไหน เพราะตัวเรื่องนี้ น่าจะใช้เวลาในการถ่ายทำ เยอะอยู่พอสมควร เพราะคุณภาพของหนังเรื่องนี้ ออกมาดีเอามากๆเลยครับ สำหรับ ผมคือชอบมากๆครับ  หากสนใจอ่านรีวิวหนังเพิ่มคลิ้กเลย รีวิวหนังไซไฟ