รีวิว Source Code

โย่ว แฟนคลับชาวหนังไซไฟ ทุกๆคนวันนี้ผมจะมาแนะนำภาพยนตร์แนว แอ็คชั่น ไซไฟ ที่มีการนำหลักวิทยาศาสตร์มาผสมผสานในตัวภาพยนตร์ Source Code แฝงร่างขวางนรก ที่ฉายในบ้านเราเมื่อปี 2011 หากคุณมีเวลาเหลืออยู่แค่ไม่กี่นาทีก่อนตาย คุณจะทำอะไร?” เราคิดว่าหนังเรื่องนี้เหมาะกับประโยคนี้มากที่สุด ถึงมันจะดูเป็นประโยคคำถามที่ช่างไกลตัวเราเหลือเกิน แต่เมื่อคุณดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว คุณจะรู้เลยว่าเพียงเวลาแค่ 1 นาทีที่เหลืออยู่มันทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด

ซึ่งสำหรับใครที่ชอบภาพยนตร์อย่าง Inception  จิตพิฆาตโลก ก็อาจจะชอบภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นกัน เพราะแนวเรื่องมีความคล้ายคลึงกันอยู่ครับ ใครอยากดูเรื่องนี้สามารถติดตามดูได้ที่ ดูหนังออนไลน์

มันเป็น sci-fi ในความคิดผม source code คือ simulation อย่างนึง ที่ดึงข้อมูลจากสมองคนที่ตายแล้ว มาสร้างเป็นโลกจำลอง โดยไม่ได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาทั้งหมดแล้วให้พระเอกเข้าไป แนวคิดน่าจะคล้ายกับโลกใน inception คือสมองพระเอกอาจเป็นคนเสริมรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ แต่ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการระเบิดไปดึงมาจากสมองคนที่ตายให้เหตุการณ์ ตอนต้นเรื่องจึงมีบอกว่าทำไมต้องใช้พระเอก เพราะพระเอกมีอัตราการเข้ากันกับสมองคนที่ตาย พระเอกจึงเหมือนเข้าไปสิงร่างคนตาย เพราะเขาเข้าไปใช้ข้อมูลในสมองคนที่ตาย คร่าวๆก็น่าจะเป็น พระเอกคือ user source code คือตัวเกม สมองคนตาย คือ savedata ส่วนเรื่องโลกคู่ขนานผมว่ามันเบี่ยงมาเข้าประเดินนี้ในตอนท้ายเท่านั้น

 

 

เพื่อเอาใจคนดูให้จบแบบ happyending เครื่องแค่นั่้นถึงกับสร้างโลกคู่ขนานได้เลยนี่มันเกินไปหน่อย ถ้าจะเอาเป็นเครื่องส่งข้อมูลตัวตนพระเอก ไปยังโลกคู่ขนานค่อยน่าเป็นไปได้หน่อย ดูหนัง

หนึ่งในหนังวนลูปตายแล้วตายอีกที่สนุกที่สุดเรื่องหนึ่ง และจะเรียกว่าหนังหักมุมกลาย ๆ ก็ไม่ผิดนัก เพราะสำหรับใครที่ได้ดูครั้งแรก เมื่อดูไปถึงกลาง ๆ เรื่องก็คงจะช็อคพอ ๆ กับ “โคลเตอร์” พระเอกในเรื่องเช่นกัน โคลเตอร์ที่ร่วมงานทดลองของรัฐบาลในการแฝงความคิดเข้าไปยังร่างของบุคคลอื่น และมีเวลา 8 นาที ในร่างนั้นเพื่อหาทางยับยั้งเหตุการณ์ระเบิดรถไฟที่เดินทางไปชิคาโก แต่แน่นอนว่า เขาไม่สามารถหาคนร้ายที่วางระเบิดหรือยับยั้งการระเบิดนั้นได้ และทุกครั้งที่เขาตายทุกอย่างก็จะกลับไปเริ่มใหม่ในเฮลิคอปเตอร์ที่ตกอยู่ในอัฟกานิสถาน โดยเขาต้องคุยกับนายทหารหญิงปลายสายที่ดูมีลับลมคมไหนกับภารกิจแสนจะงงนี้

บอกเลยว่าตลอดชั่วโมงครึ่งที่ดูหนังเรื่องนี้ ไม่มีนาทีไหนเลยที่เราเบื่อหรือละสายตา เพราะโดยปกติหนังแนว time loops มีข้อสำคัญของการทำหนังอย่างหนึ่งคือทำยังไงก็ได้ให้ทุกครั้งที่ตัวละครเดินกลับมาที่เดิมต้องไม่เจอเหตุการณ์ซ้ำซากแต่ต้องไม่ต่างกันจนไม่ใช่เหตุการณ์เดิม และหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดี ทุกครั้งที่พระเอกต้องกลับไปทำภารกิจ เราได้แต่ลุ้นตลอดว่าพระเอกจะทำอะไร

พร้อมกับคาดเดาอะไรไม่ได้เลย อีกทั้งหนังเรื่องนี้ไม่ได้ถ่ายทอดในแง่มุมฝั่ง Sci-Fi Action เพียงอย่างเดียว มันนำเสนอแง่มุมความคิดรวมถึงสะท้อนจิตใต้สำนึกและจริยธรรมความเป็นมนุษย์ออกมาได้ดีไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นการก้าวข้ามความสำเร็จทางหน้าที่การงานโดยเหยียบย่ำคุณธรรมและจิตใจของมนุษย์ การมองข้ามเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การใส่ใจ ดูแล ห่วงใย คนข้าง ๆ รวมทั้งการใช้เวลาที่เรามีอยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุด

 

รีวิว Source Code-1

 

รีวิว Source Code เนื่อเรื่องเข้มข้น 

หนังที่ว่าด้วยการย้อนเวลาสำหรับฮอลลีวู้ดนั้น อาจจะมีมาหลายเรื่องแล้ว บางเรื่อง อาจเป็นความสามารถพิเศษในการเห็นอดีต แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ มันเป็นหนังที่นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ผูกเรื่อง บอกว่ามีเทคโนโลยี ที่ทำให้เราสามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้อย่างมาก 8 นาที

โคลเตอร์ สตีเว่นส์ (Jake Gyllenhaal) นายทหารผู้ตื่นขึ้นมาบนรถไฟขบวนที่กำลังวิ่งเข้าสู่กรุงชิคาโกในเช้าของวันหนึ่ง ในร่างที่มันไม่ใช่ของเขา พร้อมกับภารกิจที่ต้องค้นหาเจ้าของระเบิดที่ซุกซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่งในรถไฟขบวนนั้น ซึ่งในอีกไม่กี่นาทีมันจะระเบิดขึ้น และกลายเป็นอาชญากรรมร้ายแรง และต่อเนื่อง

ทางการต้องการหยุดอาชญากรรมขั้นที่ร้ายแรงกว่านั้น จึงใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “ซอร์สโค้ด” เพื่อเชื่อมโยงระหว่างโคลเตอร์กับร่างของครูหนุ่มผู้โดยสารรถไฟคนหนึ่งเข้าด้วยกัน

หนังมีลีลาที่เล่าวนซ้ำสำหรับภารกิจแต่ละครั้ง แต่ทุกครั้ง มันไม่เคยเหมือนเดิม โคลเตอร์กลับไปบนรถไฟขบวนนั้นแต่ละครั้ง ด้วยเป้าหมายเดิม แต่ในใจเขายังมีอีกหลายจุดมุ่งหมายที่เขาเองเลือกจะกระทำ ด้วยเวลาที่จำกัดเพียง 8 นาที ทำให้มันเร้าคนดูพอสมควรที่จะเฝ้าดูว่า เขาจะทำอะไรได้บ้างในการย้อนกลับไปครั้งนั้น และเขาจะได้อะไรที่เป็นเบาะแสมากกว่าเดิมหรือไม่ ครั้งถัดๆ มา เขาจะทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมบ้าง และทุกๆ ครั้ง ปริศนาต่างๆ ก็จะถูกไขกระจ่างในหัวของคุณมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนคนเขียนพยายามทำเรื่องที่อธิบายยากๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ให้คนดูเข้าใจเรื่องได้ทัน

เป็นเรื่องราวของอดีตนายทหารอย่าง โคลเตอร์ สตีเว่น ที่ต้องทำภารกิจเพื่อยับยั้งการเกิดวินาศกรรมครั้งใหญ่ โดยใช้ Source Code ระบบจำลองความทรงจำ 8 นาทีสุดท้ายของผู้เสียชีวิตจากเหตุรถไฟระเบิด ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็เปรียบเหมือนการย้อนอดีตไปเพื่อรวบรวมข้อมูลสำคัญในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว ถึงแม้ว่าโคลเตอร์จะมีเวลาในการรวบรวมข้อมูลเพียงแค่ 8 นาที แต่เขาก็สามารถ restart Source Code ใหม่ได้ไม่จำกัด

หนังเล่าเรื่องของ ‘โคลเตอร์’ (Jake Gyllenhaal) ที่ตื่นขึ้นมาอยู่บนรถไฟพร้อมกับผู้หญิงแปลกหน้าที่ชื่อว่า ‘คริสติน่า’ (Michelle Monaghan) ที่อยู่ ๆ ก็เรียกชื่อเขาว่า ฌอน แถมพูดคุยกับเขาเป็นตุเป็นตะ และไม่กี่นาทีให้หลัง เขาและเธอก็ต้องเจอกับเหตุการณ์รถไฟระเบิด หลังจากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องปฏิบัติการเล็ก ๆ ที่มี ‘ผู้การกู๊ดวิน’ (Vera Farmiga) เป็นคนสั่งการผ่านหน้าจอเล็ก ๆ พร้อมมอบภารกิจให้เขาตามหามือวางระเบิดรถไฟในเหตุการณ์ที่เขาเพิ่งประสบมา สุดท้ายก็ได้พบว่าตัวเขาอยู่ในระบบปฏิบัติการ Source Code ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเส้นประสาทของคนที่เก็บความทรงจำเพียง 8 นาทีสุดท้ายของการมีชีวิต ดังนั้นเขาจึงมีเวลาทุก 8 นาทีที่ต้องตามหามือวางระเบิดเพื่อหยุดเหตุการณ์ใหม่ในอนาคต

ภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์เรื่องนี้นำเสนอการปฏิบัติภารกิจสำคัญของตัวเอก ภายใต้เงื่อนไขพิเศษคือ ตัวเอกของเรื่องตายแล้วในทางสภาพร่างกาย แต่เขายังมีชีวิตในสภาพคล้ายวิญญาณที่ติดขังอยู่ในระบบ source code ที่ผู้ควบคุมสามารถกำหนดชะตาชีวิต มอบหมายภารกิจสำคัญ รวมไปถึงบังคับเขาให้ต้องปฏิบัติภารกิจ ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม จะด้วยสำนึกในหน้าที่หรือภาวะไร้ทางเลือก โควเตอร์ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจลองผิดลองถูกและจากความล้มเหลว เขาค่อยๆ ได้เรียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้พบความรักอีกครั้ง พบว่าเขาทำอะไรได้และไม่ได้บ้าง พร้อมๆ กับภารกิจที่สำเร็จได้ในที่สุด

 

รีวิว Source Code-2

 

สิ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้

การที่หนังหยิบเรื่องของการย้อนเวลามากล่าวถึง ย่อมต้องเป็นปัญหาบ้างกับคนดูบางคน สุดท้าย หนังเลือกจะจบได้อย่างที่ไม่ยากเกินคาดเดามากนัก แต่ก็สร้างปัญหาสำหรับคนดูที่มักสับสนเรื่องของทฤษฎีการย้อนเวลาอยู่บ้าง เรียกได้ว่ามีการดำเนินเรื่องที่ไม่ยืดยาด ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น น่าติดตามตลอด ว่าเหตุการณ์จะเป็นยังไง และร่วมลุ้นไปกับตัวพระเอกว่าเขาจะทำภารกิจได้สำเร็จหรือไม่

ถึงแม้ว่าจะมีการรีเซ็ตกลับมาในห้วงเวลาเดิม เหตุการณ์เดิมๆ แต่ตัวภาพยนตร์มีการโฟกัสเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปจึงไม่ทำให้น่าเบื่อแต่กลับน่าติดตามตลอดจนจบเรื่อง ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องมีการนำเรื่องราวของมิติคู่ขนานมาเล่าเรื่องได้อย่างดี ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องโต้เถียงกันว่าในความเป็นจริงมันจะเป็นไปได้หรือ ถูกหลักตามความจริงหรือไม่ ผมก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ที่ผมรู้คือภาพยนตร์คือความบันเทิงอย่างหนึ่ง แค่เราสนุกไปกับมัน ได้ข้อคิด ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ

นอกจากจะมีการนำหลักวิทยาศาสตร์มาเป็นตัวผสมผสานในภาพยนตร์แล้ว ยังมีเนื้อเรื่องที่ครบรสทั้งสนุก ตื่นเต้น แอ็คชั่น สืบสวน โรแมนติค ทริลเลอร์ มีการดำเนินเรื่องที่สมเหตุสมผล พร้อมกับการหักมุมแบบมีชั้นเชิง และยังมีข้อคิดที่ทำให้เราได้ตระหนักถึงเวลา และความสำคัญของคนข้างกาย อย่างครอบครัว คุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรกับคุณในอนาคต และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ขอแค่คุณได้พยายามทำมันก็คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

สิ่งที่โคตรจะน่าสนใจ และทำให้หนังเรื่องนี้ดูมีอะไรมากขึ้นสำหรับผม คือ แต่ละครั้งที่มีโอกาส โควเตอร์ต้องการติดต่อพ่อของเขา แม้โควเตอร์จะตายไปแล้วในทางร่างกาย และทุกคนก็รับรู้รวมถึงพ่อของโควเตอร์เอง แต่สำนึกรู้ของโควเตอร์ในสภาพวิญญาณยังคงมีความทรงจำ ความผูกพัน และพันธะ “ห่วง” ในใจกับพ่อของตน ซึ่งเขาต้องการปลดปล่อย โชคร้ายที่หน่วยงานดูแลระบบมองเห็นแต่ภารกิจ

มองเห็นแต่เป้าหมายที่ต้องการให้โควเตอร์ทำ โดยไม่ได้คำนึงถึงความต้องการและความรู้สึกของอีกฝ่ายเลย โควเตอร์ถูกรับรู้ในฐานะเป็นเพียงเครื่องจักรเท่านั้น โชคดีอยู่บ้างที่หนึ่งในผู้ดูแลระบบยังคงมีหัวใจ และมองเห็นความปรารถนาสุดท้ายของดวงวิญญาณโควเตอร์ และให้โอกาสนั้น

ฉากสำคัญในเรื่องราว เป็นฉากที่เรียบง่าย แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว เป็นฉากที่สำคัญมากในฐานะที่สะท้อนความปรารถนาสุดท้ายของผู้ใกล้ตาย โควเตอร์ในร่างของคนแปลกหน้าที่เขามาอาศัย โทรศัพท์หาพ่อของตน เพื่อบอกให้พ่อของตนได้รับรู้ว่า เขา (โควเตอร์) เสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เขากับพ่อทะเลาะกันอย่างรุนแรงก่อนจะจากกันและไม่มีโอกาสได้พบหรือปรับความเข้าใจอีกเลย พร้อมๆ กับผู้เป็นพ่อก็มีโอกาสบอกกล่าวให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรักที่ตนมีต่อลูกเช่นกัน

สิ่งที่น่าประทับใจคือ สีหน้าของตัวละครที่แสดงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ทั้งความเสียใจ ความรู้สึกผิด ความห่วงหาที่มีต่อพ่อ รวมถึงสีหน้าโล่งใจและปล่อยวางเมื่อได้บอกกล่าวความในใจให้พ่อรับรู้ รวมถึงสีหน้าสุขสงบเมื่อได้รับรู้จากพ่อว่ารักลูกมากเช่นกัน

 

 

ชื่อภาพยนตร์: Source Code 

แฝงร่างขวางนรก

ผู้กำกับ : Duncan Jones

ผู้เขียนบท : Ben Ripley

นักแสดง : Jake Gyllenhaal, Michelle Monaghan, Vera Farmiga, Jeffrey Wright, Michael Arden

ประเภท: Sci-fi/Thriller, Romance

ความยาว: 93 นาที

เรท: USA/ PG-13, ไทย/น15+

ผู้ผลิต/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Vendome Pictures, Vendôme Production

ปี: 2554

วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 6 เมษายน 2554

รับชมได้ที่ ดูหนังออนไลน์

เขียนบทรีวิวนี้โดย รีวิวหนังไซไฟออนไลน์