รีวิว Indiana Jones and the Dial of Destiny อีกตำนานหนึ่งของหนังแนวแอคชั่นพจญภัย

ดูหนังออนไลน์ฟรี วันนี้ขอแนะนำหนังผจญภัย ที่เรียกได้ว่าเคยเป็นตำนานมาก่อน ตอนนี้เขาได้กลับมาอีกครั้งกับภาคปิดฉากของแฟรนไชส์เรื่องนี้ กับเรื่อง Indiana Jones and the Dial of Destiny หรือชื่อภาษาไทยว่า อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา ซึ่งผมว่าภาคนี้ก็คงต้องเป็นภาคจบแล้ว เพราะพระเอกของเรา ปีนี้ตัวเขาก็ย่างเข้าวัย 80 เสียแล้ว 

สำหรับตัวผมแล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่ผมดูมาตั้งแต่เด็กๆจนถึงช่วงผมเป็นวัยรุ่นเลย ส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่น่าจะมีภาคต่อแล้ว แต่สุดท้ายก็มีเซอร์ไพรส์เข้ามา เพราะมีข่าวของภาคนี้ออกมา โดยส่วนตัวแล้วเรียกได้ว่าผมรอคอยที่จะดูหนังเรื่องนี้ก็ว่าได้ 

ถือได้ว่าเป็นหนังแนวแอ็คชั่นผจญภัยที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมไว้มากมาย ซึ่งภาคก่อนๆก็มีฉากที่ค่อนข้างจะอลังการ ฉากบู๊ต่อสู้ที่สุดมัน กับชายนักผจญภัยที่พร้อมด้วยมันสมองและความเฉลียวฉลาด พร้อมกับแส้คู่ใจของเขา นั่นคือเอกลักษณ์ของ อินเดียน่า โจนส์

รีวิว Indiana Jones

รีวิว Indiana Jones and the Dial of Destiny เรื่องย่อ

สำหรับภาคก่อนๆอาจจะมีความเป็น หนังแฟนตาซี สักหน่อย Indiana Jones and the Dial of Destiny เรื่องย่อ  เรื่องราวในเรื่องจะประกอบไปด้วยช่วงเวลาที่แตกต่างกัน 2 ช่วง ในช่วงที่ 1 จะเป็นเรื่องราวในปี 1944 หรือก็คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อินเดียนา โจนส์ ที่รับบทแสดงโดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) คือช่วงเวลาที่ อินเดียน่า โจนส์ ยังหนุ่มๆอยู่ (ด้วยงาน De-Aged ลดอายุ แล้วเอาไป Deepfake แปะหน้าตัวแสดงแทน) ต้องเข้าไปช่วยเพื่อนนักโบราณคดี เบซิล ชอว์ (โทบี โจนส์ – Toby Jones) ที่เทือกเขาแอลป์ ฝรั่งเศส

คือช่วงชิงเอา ทวนแห่งลองกินุส (Lance of Longinus) ที่เคยอาบพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จากกองทัพนาซีมาให้ได้ แต่ในระหว่างนั้น ทั้งอินดี้และเบซิลได้ค้นพบว่า นาซียังมีวัตถุโบราณที่เจ๋งกว่านั้นคือ กลไกแอนติไคเธอรา (Antikythera Mechanism) คิดค้นโดย อาร์คีมีดีส (Archimedes) ที่ เยอร์เกน วอลเลอร์ (แมดส์ มิคเคลเซน – Mads Mikkelsen) นักโบราณคดีของกองทัพนาซีครอบครองอยู่ เพราะเชื่อว่ากลไกนี้สามารถคำนวณหารอยแยกของกาลเวลา ที่สามารถพาผู้ครอบครองย้อนเวลากลับไปยังอดีตได้

 

รีวิว Indiana Jones

รีวิว Indiana Jones and the Dial of Destiny พระเอกในวัย 82

ซึ่งสิ่งที่จะว่ามันเป็นปัญหาหรือจุดแข็งก็ได้ การดำเนินเรื่องคลายๆ Prey 2022 แม้จะมีความพยายามวางเรื่องราวใหม่ ๆ ขึ้นมา และพยายามเพิ่มอะไรที่ไม่เคยเพิ่มมาก่อนในภาคอื่น ๆ ทั้งงานสร้างที่ฟอร์มยักษ์ขึ้น อลังการขึ้น ใช้งานวิชวลเอฟเฟกต์หนักหน่วงกว่าทุกภาค รวมทั้งการเพิ่มฉากแอ็กชันที่เล่นใหญ่เร้าใจกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของภาคนี้เลยแหละ ที่แมนโกลด์สามารถทำฉากแนวไล่ล่าให้ออกมายิ่งใหญ่ ระทึกสมจริง ผสมผสานกับมุกสนุก ๆ ตามรายทาง แล้วพอในภาคนี้ด้วยความที่มันมาคาบเกี่ยวกับช่วงที่ปู่ฟอร์ดเองก็เข้าวัยชรา

เมื่อพูดถึงฉากแอคชั่นของชายวัยชราคนนี้ ตัวหนังเองก็ไม่ได้บังคับหรือฝืนให้เล่นฉากแอคชั่นที่ดูจะเกินวัยของเขาแต่แต่ใช้ความเก๋าของเขาแทน และใช้วิธีแบ่งพาร์ตเล่าเรื่องให้ปู่ฟอร์ดกลายเป็นอาจารย์วัยเกษียณเชย ๆ เน้นดราม่าตามวัย กับแสดงฉากแอ็กชันแบบที่ไม่ต้องลงแรงมาก

ซึ่งเอาเข้าจริง คนวัย 82 ออกแรงได้ขนาดนั้นก็ถือว่าน่าทึ่งมาก ๆ แล้วล่ะ ส่วนพาร์ตในวัยหนุ่มที่ต้องแอ็กชันดุ ๆ ก็ให้สตันท์เล่นแทนไป ซึ่งแม้งานวิชวลทั้งการเนรมิตปู่ฟอร์ดวัยหนุ่ม รวมทั้งวิชวลจุดอื่น ๆ ในองก์แรกจะไม่ค่อยสมบูรณ์นัก แต่โดยรวมก็ถือว่าไม่แย่ ทำออกมาได้สนุกตื่นเต้นเร้าใจเกินคาด

รีวิว Indiana Jones

รีวิว Indiana Jones มีการนำประวัติศาสตร์เอามาผสม

ดูเหมือน  อินเดียนา โจนส์ ในภาคนี้จะมีการนำประวัติศาสตร์ของจริงเข้ามาผสมผสานในเรื่อง ทำให้ดูมีความแตกต่างกับภาคก่อนๆ เพราะภาคก่อน ๆ ทั้งสมบัติล้ำค่า และเกร็ดประวัติศาสตร์ที่อ้างอิงจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์จริง ๆ ในโลก ที่ล้วนถูกเล่าผ่านปากของอินดี้ในเชิง Trivia เฉย ๆ ที่เหลือก็เป็นพวกฉากแอ็กชันและการไขปริศนาเฉย ๆ

แต่ภาคนี้ตัวหนังให้เวลาและดูใส่ใจกับการไขปริศนาในเชิงสืบสวนสอบสวนที่ร่วมสมัยกว่า และเป็นประวัติศาสตร์ที่เราคุ้นหูคุ้นตาอยู่แล้ว โดยเฉพาะชื่อของอาร์คีมีดีส และกลไกแอนติไคเธอรา ซึ่งเป็นเครื่องคำนวณทางดาราศาสตร์ที่มีการค้นพบจริง ๆ ทำให้ภาคนี้ดูมีความเป็นกึ่ง ๆ วิทยาการ ผสมวิทยาศาสตร์กว่าภาคก่อน ๆ ที่ดูไกลตัวมากกว่า

รีวิว Indiana Jones and the Dial of Destiny ไคลแมกซ์ของเรื่อง

และอีกหนึ่งความแตกต่างของภาคนี้คือจุดไคลแมกซ์ เพราะในภาคก่อนๆที่เราเคยดูกันมาตัวหนังมักจะจบด้วย มหาสมบัติหรือสิ่งของมีค่าที่ได้มาจากการผจญภัย ถ้าเป็นภาคอื่น เราก็จะได้เห็นตัวร้ายที่ละโมบโลภมากโดนฤทธิ์เดชของสิ่งล้ำค่า คร่าชีวิตให้ตายตกไปตามกรรม แต่ภาคนี้เลือกที่จะใช้วิธีโยงกลับไปหาประวัติศาสตร์ที่เป็นต้นกำเนิดของกลไกอันนี้แทน

เป็นเสมือนบทลงโทษของวายร้ายไปด้วย ซึ่งก็ถือเป็นเซอร์ไพรส์ที่แม้จะดูมีความ ‘โดเรมอน เดอะ มูฟวี่’ ไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็เป็นอะไรที่ผู้เขียนมองว่าแปลกดี แต่ก็มีข้อแม้อยู่ว่า การที่ตัวหนังตลอดทั้งเรื่อง พยายามชวนให้คนดูคิดต่อว่า กลไกโบราณมันจะพาย้อนเวลาได้จริง ๆ ไหม พอบทสรุปมันออกมาแนวนี้ ก็อาจทำให้หลายคนเหวอจนไม่ชอบไปเลยก็ได้

หนังพยายามปรับตัวให้ร่วมสมัย

ด้วยเนื้อเรื่องทั้งหมดที่ผู้เขียนพยายามจะสื่อถึงผู้ชมทุกคน ถ้าเปรียบเสมือนเกมก็คงเป็นการการอัปเดต Patch เพื่อทำให้หนังเรื่องนี้มีความทันสมัยและเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันมากขึ้น แต่สุดท้ายแล้วในภาพรวมของหนังภาคนี้ก็ยังขาดความสดใหม่อย่างจริงจัง ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าไม่ได้เคยดูมาก่อน หนังเรื่องนี้มันก็สนุกในตัวมันเอง แต่ถ้าใครดูทุกภาคมาแล้วก็จะรู้สึกได้เลยว่า ตัวหนังเลือกที่จะหยิบขนบและสไตล์จากหนังภาคก่อน ๆ (รวมทั้งสไตล์แบบ หนังสปีลเบิร์ก) มาใช้ ตั้งแต่พล็อต การเล่าเรื่องที่คล้ายกันทุกภาค

การมีเด็กร่วมผจญภัยด้วยก็ชวนให้นึกถึง Indiana Jones and the Temple of Doom (1984) ฉากแอ็กชันที่แอบมีลูกล่อลูกชน มีความเหนือจริงนิด ๆ แบบสปีลเบิร์กในภาคเก่า ๆ ฉากการไล่ล่าของอินดี้กับนาซีที่เหมือนกันทุกภาค ต่างก็แค่พื้นที่และรูปแบบ รวมทั้งบทสรุปที่ใช้วิธีการเดิมเหมือนทุกภาค (และนาซีก็จะต้องร้ายและโลภแบบไม่มีเหตุผลเหมือนทุกภาคเช่นกัน)

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง

ชื่อภาพยนตร์ Indiana Jones and the Dial of Destiny / อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา

กำกับ James Mangold

เขียนบท Jez Butterworth, John-Henry Butterworth, David Koepp, James Mangold

แสดงนำ Harrison Ford, Phoebe Waller-Bridge, Karen Allen, Mads Mikkelsen

แนว/ประเภท แอ็คชั่น,​ ผจญภัย

เรท PG-13

ความยาว 154 นาที

ปี 2023

สัญชาติ สหรัฐอเมริกา

เข้าฉายในไทย 28 มิถุนายน 2023

ผลิต/จัดจำหน่าย Walt Disney Pictures, Lucasfilm, Paramount Pictures

ใส่ความเห็น